ฝ้า ฮอร์โมน มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
ฝ้า เป็นปัญหาผิวหนังเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนไทย โดยเฉพาะผู้หญิง มักปรากฏเป็นรอยด่างสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลเข้มบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก คาง หรือเหนือริมฝีปาก สาเหตุของการเกิดฝ้ามีหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นคือ ฮอร์โมน
ฮอร์โมน มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการผลิตเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ทำให้ผิวหนังมีสีเข้ม เมื่อระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ ฮอร์โมนเพศหญิง เช่น เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน อาจส่งผลต่อการกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ผลิตเมลานินมากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาของฝ้า
เลือกอ่าน
ปัจจัยฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับฝ้า
- การตั้งครรภ์: ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในช่วงตั้งครรภ์ ส่งผลให้เกิด ฝ้า ที่เรียกว่า ฝ้าหลังคลอด
- การรับประทานยาคุมกำเนิด: ยาคุมกำเนิดบางชนิดมีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าในผู้หญิงบางราย
- วัยหมดประจำเดือน: ระดับฮอร์โมนเพศหญิงลดลงในช่วงวัยหมดประจำเดือน แต่การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนนี้ยังคงส่งผลต่อการกระตุ้นให้เกิดฝ้า
- โรคไทรอยด์: โรคไทรอยด์บางชนิด เช่น โรคไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (hypothyroidism) อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดฝ้า
นอกจากฮอร์โมนเพศหญิงแล้ว ฮอร์โมนอื่น ๆ ยังอาจส่งผลต่อการเกิดฝ้า เช่น:
- ฮอร์โมนความเครียด: ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่หลั่งออกมาเมื่อร่างกายเผชิญความเครียด ส่งผลต่อการกระตุ้นให้เกิดฝ้า
- ฮอร์โมนการเจริญเติบโต: ฮอร์โมนการเจริญเติบโต (growth hormone) อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้าในเด็กบางราย
การป้องกันและรักษาฝ้า ฮอร์โมน
หลีกเลี่ยงแสงแดด: แสงแดดเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้ฝ้าเข้มขึ้น ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน สวมหมวกปีกกว้าง และใส่แว่นกันแดดเมื่อออกแดด
ผสมตัวยาเฉพาะบุคคล
เป็นการออกแบบวางแผนการรักษาและผสมตัวยาเฉพาะบุคคลหรือ case by case แล้วส่งเข้าผิวด้วยเครื่องมือผลักยาและสแกนหาฝ้ารักษาที่ต้นตอ
สิตาคลินิกรักษาที่สาเหตุของการเกิดฝ้าโดยตรง โดยการไปยับยั้งทั้ง 28เส้นทางของการเกิดฝ้าทั้งหมด โดยใช้ตัวยาและวิตามินไม่ต่ำกว่า 500 ชนิด เพื่อหยุดวงจรการเกิดฝ้าแบบเด็ดขาดเพิ่มภูมิคุ้มกัน
ทำให้ภูมิกันของคนไข้แข็งแรงทั้งระบบ เป็นการรักษาแบบดึงคนไข้ออกจากวงจรการเกิดฝ้า ไม่ให้วนลูปเป็นซ้ำไปซ้ำมา ไม่ใช่การรักษาปลายเหตุ ดังนั้นเมื่อรักษาหายแล้ว จะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกไม่ฉีด, ไม่เลเซอร์
ในการรักษาทำให้หน้าเด็กลงไม่ต่ำกว่า 10 ปี และผิวขาวใส ภูมิคุ้มกันผิวแข็งแรงไม่เจ็บ ไม่มีการฉีดที่ทำให้เกิดบาดแผล ไม่มีการเลเซอร์ ไม่ทำให้ผิวแสบ แดง หรือลอก ไม่ทำร้ายผิวไม่กลับมาเป็นซ้ำ
ดึงคนไข้ออกจากวงจรการเกิดฝ้าแบบถาวร หายขาด ไม่วนลูปกลับมาเป็นซ้ำ ถอนราก ถอนโคนไปเลย
ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการผลิตเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ทำให้ผิวหนังมีสีเข้ม เมื่อระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะ ฮอร์โมนเพศหญิง เช่น เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน อาจส่งผลต่อการกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ผลิตเมลานินมากขึ้น นำไปสู่การพัฒนาของฝ้า
นอกจากฮอร์โมนเพศหญิงแล้ว ฮอร์โมนอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการเกิดฝ้า ได้แก่ ฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) และฮอร์โมนการเจริญเติบโต
ผู้หญิงมีโอกาสเกิดฝ้ามากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีผิวสีเข้ม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้า ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิด และผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
- หลีกเลี่ยงแสงแดด: แสงแดดเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้ฝ้าเข้มขึ้น ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน สวมหมวกปีกกว้าง และใส่แว่นกันแดดเมื่อออกแดด
- ดูแลผิวพรรณ: ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ ทามอยส์เจอไรเซอร์ และใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดฝ้า
- หลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นอื่นๆ: ความร้อน เหงื่อ และความเครียด
- ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: แพทย์ผิวหนังสามารถแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
Problems
ถ้าปัญหาเหล่าคือสิ่งที่คุณเคยเจอมา
- รอยไหม้เลเซอร์
- ใช้ครีมหน้าขาวที่มีสารเคมี และสเตียรอยด์ สารไฮโดรควิโนน ปรอท
- ฉีดฝ้ามาจนหน้าไหม้
- ฝ้าฮอร์โมนจากการกินยาคุม ฉีดยาคุม ยาสตรีทุกชนิด
- การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าเตาความร้อน
- การทำงานกลางแจ้ง หรือโดนแดด แล้วป้องกันได้ไม่ดี